ผักและผลไม้สำคัญไฉน

ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าผลไม้นั้นมีประโยชน์มากแค่ไหนต่อมนุษย์อย่างเรา ซึ่งไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นนะกับพวกสัตว์นี้แหล่ะเป็นอาหารชั้นเยี่ยมยอดของพวกเขาเลยทีเดียว ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบกินผลไม้เลย แม้แต่กล้วย หรือรับประทานนิดเดียวแล้วก็เลิกแต่จะมีบางคนโปรดปรานผลไม้อย่างอื่น เช่น ทุเรียน ยกไห้เป็นเดอะเบสเลยทีเดียว แต่เพื่อสุขภาพที่ดีนั้นไม่ควรกินเยอะ เราควรเลือกรับประทานผลไม้อย่างหลากหลาย เพื่ออรรถรส และรสชาติที่แตกต่างกันออกไป

ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าผลไม้นั้นมีความสำคัญกับมนุษย์ของเราเป็นอย่างมากเพราะมีวิตมินและแคลเซียมต่าง ๆ ที่ประกอบอยู่ในผลไม้ด้วย เช่นวิตมินเอ วิตมินบี วิตมินซี ทำไห้เรารับประทานเข้าไปแล้วนั้นไปช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายไห้แข็งแรง และมีผลดีต่อทางสายตา กระดูกและฟันและเลือดเป็นอย่างมาก

ซึ่งคนส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานแตงโมเพราะแตงโมนั้นมีความหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้วและสีสันสดใสมี่ทำไห้น่ารับประทานยิ่งขึ้นไปอีก มีน้ำที่หวานฉ่ำชื่นใจทำไห้เวลาทานเข้าไปแล้วนั้นทำไห้อารมณ์ดี ยิ่งถ้าแช่เย็นคงฟินเลยทีเดียว ซึ่งในแตงโมนี้ มีวิตมินซีสูงและช่วยในเรื่องของโรคโลหิตจางด้วยนะ ส่วนต่อไปก็คือแอปเปิ้ลผลไม้ที่เราคุ้นเคยกันดี เด็กทานได้ผู้ใหญ่ทานดีเพราะเป็นผลไม้ที่มีรถหวานกรอบและไม่ต้องปลอกเปลือกเวลารับประทาน ซึ่งมีทั้งวิตมินเอ วิตมินบี โปรตีนไขมัน คาร์โบไฮเดรตและอื่น ๆอีกสารพัดซึ่งถ้าใครอยากลดน้ำหนักหรือคุมน้ำหนักนั้นเอปเปิ้ลนั้นสามารถช่วยได้นะ

และในแอปเปิ้ลมีสารช่วยต้านมะเร็งใครอยากสุขภาพดีไปซื้อมารับประทานได้เลยเพราะเป็นผลไม้ที่กินง่ายมาก ซื้อมาล้างน้ำแล้วทานได้ทั้งเปลือกเลย หรือถ้าใครไม่ชอบทานเปลือกก็สามารถปลอกได้ และผลไม้ที่เป็นเดอะเบสและสำคัญที่สุดเลยคือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ซึ่งก็จะมีทั้ง ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ สตอเบอร์รี่ เครปกูสเบอร์รี่ และผลไม้ที่รวมอยู่ในตระกูลเบอร์รี่

ซึ่งเบอร์รี่นั้นหอมหวานมากอยู่แล้วสาว ๆยังชอบทานกันด้วยนะ เพราะมีรสชาติที่อร่อย ถูกปากใครหลาย ๆคน อีกทั้งยังชาวยเรื่องการขับถ่าย ผิวพรรณ บำรุงสาบตา บำรุงหน้าตาของเราไห้สวยใสได้อีกด้วย เห็นไหมนี่แค่ผลไม้ที่ยอดฮิตนะ เห็นประโยชน์และความสำคัญของผลไม้ชนิดต่าง ๆหรือยังโดยเรื่องนี้ยกตัวอย่างผลไม้ที่คนเราชอบกินในชีวิตประจำวันมากที่สุด เพื่อไห้ได้รู้ว่าผลไม้สำคัญไฉนเพราะมีทั้งวิตมินต่างๆและการต้านโรคต่าง ๆมากินผลไม้กันเยอะๆนะ เพื่อสุขภาพกายที่ดีของตัวเรา

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย   ซื้อหวยฮานอยออนไลน์

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อ Universal IN EAR MONITOR

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อ Universal IN EAR MONITOR ตัวหูฟัง Universal ประเภทนี้นะครับ

เหมาะกับการใส่ของรูหูทุกคนเพราะออกแบบมามีพื้นฐานทั่วไปของหูฟังอยู่ในตัวมันอยู่แล้วในเชิงทั้งดีไซน์และความกระชับ มีหลายอย่างที่เราจะสามารถทำให้มันใกล้เคียงกับหูฟัง custom มากขึ้น และก็หลายอย่างเช่นเดียวกันที่เป็นข้อจำกัดของมัน เราจึงยกตัวอยาก สิ่งที่ต้องรู้มาแนะนำเพื่อนๆดังนี้ มีการสวมใส่ 2 แบบ คือ หูฟังแบบจุกที่เสียบตรงส่งต่อไปยังรูหูคุณจะพบเจอหูฟังแบบนี้ได้พื้นฐานทั่วไป

คล้ายกับหูฟังมือถือ ส่วนอีกแบบนึงคือจะใส่แล้วมีความกระชับไม่หลุดง่ายจะเป็นแบบที่คล้องมาจากทางดั้นหลังหูและสวมใส่เปรียมเสมือนตัวล๊อคกันการหลุดของหูฟังนั่นเอง ราคาแพงใช่ว่าจะดีเสมอไป เนื่องจากผลิตมาจากหลายโรงงานหลายเจ้าบางคนอาจจะเจอหูฟัง Universal หลักร้อย แต่เราชอบเสียงของมันมากกว่าหลักพันก็มี แต่ถ้าคุณจะเลือกใช้เจ้าหูฟังตัวนี้

โดยเน้นที่คุณภาพเสียงโดยตรง แนะนำให้ลองให้มากขึ้นเพื่อเราจะได้รู้ว่าเราชอบอันไหน จะได้ไม่เสียใจหลังซื้อนะครับ ความทนทานต่ำกว่า Custom- Moled  เพราะทำจากพลาสติกใช้อุปกรณ์การต่อหลายชิ้นความทนทานส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่การออกแบบบอดี้หรือ ตรงหูฟังนั่นเอง

ว่าลักษณะที่ออกแบบมาเป็นแบบไหนอย่างไรแตกต่างกันออกไป อุปกรณ์ภายในเหมือน Custom – Moled ต่างกันแค่ Shell หรือ Housing ภายนอกเท่านั้น เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีที่กระผมมาแนะนำสิ่งที่น่ารู้แบบรวบรัดของหูฟัง Universal IN EAR MONITOR เพื่อต้องการให้ทุกท่านได้รู้และตัดสินใจก่อนจะซื้อเจ้าหูฟังตัวนี้ว่าหลักๆ การทำงานเป็นอย่างไรแตกต่างกันบ้างมั้

สิ่งสำคัญที่สุดของหูฟังตัวนี้ถ้าราคากลางๆ ก็ควรเลือกรูปทรงหรือบอดี้มันให้ดูแข็งแรงทนทานหน่อยเพราะ เสียหายค่อยข้างง่ายถ้าหากบอดี้ออกแบบมาไม่ดีมากนัก

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  เครื่องช่วยฟัง

อาการเริ่มแรกโรคเอดส์ในผู้หญิง

โรคเอดส์ตามที่เราได้รู้จักกันก็คือคนที่ได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าสู้ร่างกาย ทำให้เกิดโรคเอดส์ขึ้นมาในร่างกาย ในปัจจุบันนี้พบว่าจำนวนคนเกิดโรคเอดส์นั้นในผู้หญิงมีจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะพบกับวัยเยาวชนเด็กที่ยังไม่รู้จักกันป้องกันตนเองชอบเที่ยวสนุก ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอดส์กันมาโดยไม่รู้ตัว โดยพบคนที่เป็นโรคเอดส์สมัยนี้จะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ซึ่งการติดเชื้อเอดส์มานั้นมีมากมายช่องทาง เช่นการมีเพศสัมพันธ์โดยที่ฝ่ายชายไม่ใส่ถุงยางอนามัย และมีอีกมากมายช่องที่มีโอกาสเสี่ยงทำให้เกิดการติดเชื้อเอดส์มาได้ 

การแพร่เชื้อของเอดส์นั้นถ้ามีการกอดสัมผัสเชยๆ จะไม่มีโอกาสติดเชื้อ หรือการใช้ของร่วมกัน การไอจาม ใช้น้ำน้ำร่วมกัน การไปโดนเหงื่อ น้ำมูก น้ำตา ถือว่าไม่มีโอกาสติดเชื้อเอดส์ได้ แต่การติดเชื้อมานั้น เช่น การติดผ่านทางเลือด โดยการที่อีกคนไปสัมผัสแผลคนที่เป็นอาจส่งผลให้มีการติดเชื้อเอดส์มาได้เช่นกัน ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงจากการสัมผัสคนอื่น โดยที่เราไม่รู้ว่าเขามีเชื้อเอดส์หรือป่าวทางที่ดีควรป้องกันตัวเองไว้ก่อน

อาการเริ่มแรกของผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์มา โดยหลักการมีประจำเดือนอาจจะมีเลือดออกมามาก ร่างกายเริ่มมีอาการปวดตามเนื้อตามตัว รู้สึกเหนื่อยง่ายมากขึ้น อาการโดยร่วมจะมีไข้ขึ้นตลอดเวลา เริ่มมีการกินอาหารไม่ได้ ส่งผลให้เริ่มมีน้ำหนักลดลงเรื่อย ๆตามเวลา จะเริ่มรู้สึกตัวเองความจำไม่ดีลืมง่าย บางทีการมองเห็นเริ่มไม่ชัดขึ้น นี้คืออาการที่สังเกตให้เห็นในผู้หญิง โดยเชื้อจะทำลายร่างกายไปเรื่อย ๆ ร่างกายจะเริ่มมีอาการทรุดลงตามเวลา บางรายอาจถึงตายได้ในเวลาไม่นาน แต่ในผู้หญิงถ้ารู้ตัวว่ามีการติดเชื้อตั้งแต่แรกนั้น อาจช่วยในการรักษาทันได้ในระยะแรก โดยการไปพบหมอช่วยให้ได้รับยามาต้านทันก่อนที่เชื้อเอดส์จะไปทำลายในร่างกายเร็วขึ้น 

การดูแลสภาพจิตใจของผู้ติดเชื้อในผู้หญิง ควรหาอะไรทำให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลาย จะได้ไม่ต้องกังวนกับเชื้อเอดส์ การหันไปรักษาสุขภาพโดยการออกกำลังเท่าที่จะทำได้ การดูแลตัวเองให้มีความสุขถือว่าเป็นสิ่งที่ดีในการช่วยให้สภาพจิตใจมีความเข็มแข็งขึ้น สามารถช่วยให้ร่างกายเราต่อสู้มีพลังกับการต่อสู้กับโรคเอดส์ โดยคนครอบครัวก็ถือว่าสำคัญในการดูแลคนป่วยโรคนี้ การไม่ไปซ้ำเติมทำให้สภาพจิตใจคนป่วยแย่ลง ควรให้กำลังใจในยามที่เขารู้สึกแย่ลง

 

ขอขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  ชุดตรวจ hiv

รู้หรือไม่หากใช้เครื่องช่วยฟังแล้วใช้โทรศัพท์ยังไง

 สำหรับคนที่ใช้เครื่องช่วยฟัง หลายคนมักจะพบกับปัญหาการใช้งานพร้อมกันระหว่างโทรศัพท์กับเครื่องช่วยฟังพร้อมกันได้ลำบาก บางครั้งพบปัญหาว่ารับโทรศัพท์แล้วไม่ค่อยได้ยินเสียง บางครั้งได้ยินเป็นหวีดน่ารำคาญหู บางคนก็ได้ยินเสียงไม่ชัดเจนซึ่งเป็นความลำบากของผู้ที่ต้องใช้ เครื่องช่วยฟัง ซึ่งหลายท่านที่พบปัญหาแบบนี้ก็มีมาบ่นหรือบางคนก็ตัดความรำคาญด้วยการไม่รับโทรศัพท์เลยก็มี ซึ่งในปัจจุบันโทรศัพท์มือถือก็มีโปรแกรมแชตสำหรับเอาไว้พิมพ์คุยกันได้ จึงเป็นอีกทางออกหนึ่งของคนที่มีปัญหาด้านการได้ยินแล้วต้องใช้เครื่องช่วยฟัง

แต่ถ้าเป็นคนสูงอายุใช้งานก็จะมีปัญหาเรื่องของการมองตัวหนังสือไม่ค่อยเห็นขึ้นมาอีก ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัญหาที่คนใช้เครื่องช่วยฟังเคยเจอเมื่อนานมาแล้ว แต่ในปัจจุบันโลกมีวิวัฒนาการมากขึ้น เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นความเจริญก้าวหน้าจึงนำมาเพื่อการปรับปรุงระบบของอุปกรณ์ให้ทันสมัยรองรับความต้องการอันหลากหลายของผู้ใช้งาน เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น การพัฒนาอุปกรณ์เครื่องช่วยฟังก็เช่นเดียวกัน จากที่เมื่อก่อนจะมีปัญหามากเมื่อต้องรับโทรศัพท์มาในปัจจุบันนี้ บริษัทที่ผลิตอุปกรณ์เครื่องช่วยฟังได้มีการปรับปรุงฟังชั่นให้เครื่องช่วยฟังสามารถใช้งานได้ควบคุมกับการคุยโทรศัพท์ไปด้วย

โดยในปัจจุบันคนที่ใช้เครื่องช่วยฟังส่วนใหญ่ไม่ได้พบปัญหาเสียงเบา เสียงไม่ชัดหรือได้ยินเสียงหวีดอีกแล้ว แต่หากใครท่านไหนที่ยังพบปัญหาอยู่ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ดูนะคะ คุณจะสามารถใช้งานเครื่องช่วยฟังให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

  • ถ้าคุณใช้เครื่องช่วยฟังแบบสอดเข้าไปในรูหูแล้วละก็ เวลาที่คุณรับโทรศัพท์หรือต้องการที่จะโทรศัพท์ออกไปหาเพื่อนให้คุณเอาลำโพงออกห่างจากหูที่มีเครื่องช่วยฟังอุดอยู่ประมาณสัก 1-2 เซนติเมตร อยากเอาโทรศัพท์แนบกับหูจนเกินไป ถ้าทำแบบนี้แล้วยังเสียงเบาให้ลองปรับความดังของเสียงที่ตัวโทรศัพท์ดูนะคะ ค่อยๆปรับทีละนิดจะช่วยให้ได้ยินเสียงได้ชัดเจนขึ้นและไม่มีเสียงหวีดด้วยค่ะ
  • หากเครื่องช่วยฟังเป็นแบบคล้องใบหู ให้เอาโทรศัพท์มือถือตรงส่วนของลำโพงไปแนบไว้ใกล้ที่เกี่ยวหูด้านบน เพราะรูของไมโครโฟนของเครื่องช่วยฟังจะอยู่ตรงนั้น หากเอามาแนบตรงหูเลยจะทำให้ได้ยินเสียงไม่ชัดเจน และที่ทำสำคัญอย่างวางโทรศัพท์มือถือแนบใกล้กับรูหูฟังมากจนเกินไป ให้เว้นระยะห่างสัก 1-2 เซนติเมตร ก็จะช่วยให้ใช้งานโทรศัพท์ได้ชัดเจนขึ้น

การใช้เครื่องช่วยฟังกับโทรศัพท์นั้นหากใช้งานใหม่ๆอาจยังไม่คุ้นชิน ซึ่งอาจทำให้เกิดความรำคาญได้ แนะนำให้ลองใช้งานบ่อยๆจนเกิดความเคยชินแล้วหลังจากนี้ก็จะสามารถใช้งานทั้งสองอย่างคู่กันได้โดยไม่มีปัญหา

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีอยู่หลายประเภท

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีอยู่หลายประเภท

โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากการเติบโตของเซลล์เยื้อบุของผนังด้านในกระเพาะปัสสาวะที่แตกต่างจากปกติ โดยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะจะมีอยู่หลายประเภท

– ประเภท Transitional Cell Carcinoma หรือ Urothelial Carcinoma เกิดขึ้นในเยื่อบุฝาผนังข้างในกระเพาะ เป็น
ประเภทโรคมะเร็งที่พบได้มากที่สุดของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
– ประเภท Squamous Cell Carcinoma มีต้นเหตุจากการได้รับเชื้อ อักเสบแบบเรื้อรังจากการส่องแสง หรือได้รับยาเคมีเพื่อบรรเทา บางชนิดและก็เป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะเวลานานโดยมิได้รับการดูแลรักษา
– จำพวก Adenocarcinoma จำพวกแบบต่อมที่เจริญก้าวหน้ามากมายจากเยื่อต่อมซึ่งเป็นเยื่อบุผิว
– จำพวก Small cell carcinoma เกิดขึ้นจากเซลล์ Neuroendocrine cells
– ประเภท Sarcomas เกิดจากในเซลล์กล้ามกระเพาะปัสสาวะ

คนไหนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
– อายุ 40 ปีขึ้นไป หรือบางทีอาจเจอได้ในคนที่แก่น้อยกว่า แล้วก็ชอบเจอในผู้ชายมากยิ่งกว่าในผู้หญิง
– คนที่ดูดบุหรี่หรือได้รับควันจากบุหรี่ โดยคนที่ดูดบุหรี่ได้โอกาสเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะราว 8 เท่าของคนที่ไม่ดูดบุหรี่
ได้รับสารเคมีที่อันตรายบางประเภท
– การทานอาหารที่มีไนเตรตสูง ดังเช่น เนื้อสัตว์ หรือผักบางจำพวก
– คนที่ติดโรคในกระเพาะปัสสาวะแบบเรื้อรัง ดังเช่น นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือติดเชื้อโรคปรสิตจากบางสิ่งบางอย่าง
– การใช้ยาบางประเภทจากวิธีการทำเคมีบรรเทา
– การถ่ายทอดทางพันธุกรรม

4 โรคร้าย ที่เกิดจากการทำงาน

ใช่ว่าตำแหน่งใหญ่โต เงินเดือนสูง แล้วจะหนีไปจากโรคออฟฟิศซินโดรมได้ เพราะว่ายิ่งจะต้องคิดต้องทำงานให้หนักขึ้น บริหารทั้งงานและลูกน้องควบคู่กันไป อาจทำให้เกิดภาวะเครียดและเสี่ยงต่อโรคจากความเสื่อมถอยโดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง โรคเครียด โรคนิ่วในถุงน้ำดี และโรคอ้วน เป็นต้น

ช่วงอายุประมาณ 25-39 ปี เป็นวัยแห่งการทำงานที่แท้จริง เพราะก็หนีไม่พ้นโรคออฟฟิศซินโดรมเช่นกัน เพราะยุคนี้เป็นยุคแห่งการรีบเร่ง อีกทั้งในเรื่องของการที่คุณต้องใช้คอมพิวเตอร์วันละหลาย ๆ ชั่วโมง การอดอาหาร อดหลับอดนอนเพื่อให้งานเสร็จ ทำให้ร่างการต้องแบกรับความตรึงเครียดปราศจากการผ่อนคลาย ซึ่งทำให้คุณเสี่ยงเป็น 4 โรคจากการทำงานดังต่อไปนี้

1. นิ่วในถุงน้ำดี
โรคนิ่วในถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับอาหารการกิน เพราะในชั่วโมงที่เรารีบเร่ง การเลือกอาหารในการทานนั้นก็เป็นเรื่องยาก เรียกได้ว่ามีอะไรก็ทานๆ ไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เกิดการสะสมไขมันจนอาจก่อให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี ในหญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงมาก และคนอ้วนมักเป็นโรคนี้มากกกว่าคนผอม โดยยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลให้เกิดโรคนี้ เช่น กรรมพันธุ์ การอักเสบและการคลั่งของน้ำดีในถุงน้ำดี การทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ โดยเมื่อเป็นนิ่วในถุงน้ำดีแล้ว ถ้าไม่รีบรักษาอาจจะก่อให้เกิดอาการเรื้อรังตามมาได้

2. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ผู้หญิงมักจะพบปัญหานี้มากกว่าผู้ชาย เพราะสกิลที่สามารถอั้นปัสสาวะได้ จนอาจทำงานเพลิน ลืมไปเข้าห้องน้ำซึ่งเป็นสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งมักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าไปทางท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดการอักเสบ

3. โรคเครียด นอนไม่หลับ

โรคเครียดที่เกิดจากการทำงาน งานไม่เสร็จ ทำทัน หรือต้องวางแผนงานสุดยาก หรือการเครียดจากครอบครัว ความมั่นคงในชีวิต ซึ่งทำให้คุณเก็บมาคิดจนถึงขั้นนอนไม่หลับ วิธีการหลีกเลี่ยงที่ง่ายที่สุดก็คือ พยายามไม่เครียด รู้จักผ่อนคลายเสียบ้าง แค่คุณลองทิ้งงานไปเดินเล่นสัก 10 นาที ก็ถือว่าได้ผ่อนคลายแล้วบ้าง

4. ความดันโลหิตสูง
โรคความดันนี้ไม่มีอาการที่จะสามารถแสดงออกมาได้เลย จนกระทั่งเมื่อเราอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเกิดจากปัจจัยบางอย่าง ได้แก่ การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้แบบไม่ทราบสาเหตุ จะมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนอื่น ๆ ถึง 3 เท่า นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุให้เราเสี่ยงเป็นโรคความดัน ได้แก่
• โรคอ้วน
• ความเครียด
• การรับประทานอาหารรสเค็ม
• การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า
• ผู้ที่ทำงานนั่งโต๊ะในสำนักงาน จะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ที่ทำงานใช้กำลัง

ความดันโลหิตสูงไม่ควรปล่อยปะละเลยควรให้ความสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถพาไปเสี่ยงกับภาวะอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย พิการ และหัวใจวายอีกด้วย เมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็ควรให้ความสนใจกับสุขภาพของคุณบ้างอย่าปล่อยให้งานที่เรารักมาทำลายสุขภาพที่เราก็รักเลย

วัณโรค พบเร็ว รักษาให้หายขาดได้

 

“วัณโรค”เป็นโรคตั้งแต่ยุคโบราณของประเทศไทยที่ยังคงอยู่ถึงในปัจจุบัน ซึ่งจริงๆ แล้วมันน่าจะหายไปแล้วตั้งแต่ในอดีต แต่ปัจจุบันก็ยังคงพบอยู่เรื่อยๆ และคร่าชีวิตคนไทยไปไม่น้อย กระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลไว้ว่า ในปี 2560-2561 มีผู้ป่วยวัณโรคในประเทศไทย 22,784 ราย และจากสถิติที่ผ่านมาพบผู้ป่วยวัณโรคมากถึง 108,000 รายต่อปี เสียชีวิตไปแล้วกว่า 12,000 ราย
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า วัณโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า ไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium tuberculosis) ติดต่อผ่านระบบทางเดินหายใจ ร้อยละ 80 จะเกิดที่บริเวณปอด สามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น เยื่อหุ้มสมอง ต่อมน้ำเหลือง กระดูก

กลุ่มเสี่ยงโรควัณโรค
กลุ่มที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อวัณโรคจากระยะแพร่เชื้อได้ง่าย คือ เด็กๆ เพราะว่าเชื้อจะออกมากับการไอ จาม ในห้องที่ทึบ และเข้าสู่ร่างกายได้ทางการหายใจเอาเชื้อเข้าไป เชื้อจะมีชีวิตอยู่ได้ถึง 1 สัปดาห์ กรณีเชื้อในเสมหะหากมีการปล่อยเสมหะออกสู่ขั้นนอกที่ไม่มีแสงแดด บางทีเชื้ออาจอยู่ในเสมหะนั้นได้นานถึง 6 เดือน ทั้งนี้อาการเมื่อป่วยเป็นวัณโรค หากติดเชื้อในระยะแรกมักไม่มีอาการ จะทราบว่าติดเชื้อแล้วก็ต่อเมื่อได้ตรวจสุขภาพจริงๆ โดยตรวจจากเสมหะ โดยการทดสอบทูเบอร์คิวลินจะให้ผลบวก ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเคยติดเชื้อตอนเป็นเด็ก

ปัจจัยเสี่ยงของวัณโรค
วัณโรคสามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายได้ทางระบบหายใจ ซึ่งเชื้อจะอยู่ในอากาศอยู่แล้ว ซึ่งหากเราได้ใหล้ชิดสัมผัสผู้ติดเชื้ออาจจะทำให้เราได้รับเชื้อโดยตรงเข้าร่างกายเพิ่มขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะการติดเชื้อ HIV ผู้ติดยาเสพติดและโรคขาดอาหาร

สัญญาณอันตราย “วัณโรค”
1. ไอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์

2. น้ำหนักลด

3. เบื่ออาหาร

4. เหงื่อออกกลางคืน

วัณโรค พบเร็ว รักษาหายได้
วัณโรคถึงแม้จะเป็นโรคติดต่อและอาจเป็นถึงขั้นเรื้อรัง แต่อย่างไรก็ตามก็มียาที่สามารถรักษาให้หายขาด หากได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ซึ่งจะต้องกินยาติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือนห้ามขาด และต้องพักผ่อนให้เพียงพอ และเลือกทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินสูง เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย แสดงให้เห็นว่าการดูแลรักษาตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอจึงมีส่วนช่วยให้การรักษาเต็มไปด้วยประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยให้ในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรคดีขึ้น และตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากมีอาการตามสัญญาณอันตรายข้างต้น ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน

กินเค็มไม่ดี เพราะอะไร

อาหารที่อร่อยคือต้องมีรสกลมกล่อม ทั้งหวาน เค็ม เปรี้ยว และเผ็ด แต่รู้หรือไม่ว่ากว่าจะได้รสชาตินั้นต้องเติมเครื่องปรุงลงไปกี่ชนิด กี่ช้อน? และนอกจากรสชาติที่เราได้รับจากการกินแล้วร่างกายจะได้รับอะไรตามมาอีกบ้าง?
เคยแปลกใจบ้างไหมว่าทำไมบางคนกินอะไรก็ขาดเครื่องปรุงไม่ได้ ขอเติมน้ำตาลลงไปสัก 1 ช้อน ราดน้ำปลาลงไปอีกสัก 1 ช้อนครึ่ง โดยที่ยังไม่ได้ชิมก่อนเลยแม้แต่นิดเดียวว่าอาหารที่พร้อมเสิร์ฟมานั้นมีรสชาติอย่างไร ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าลิ้นของมนุษย์เรามีปุ่มรับรสเล็กๆ ที่เรียกว่า ปาปิลา (Papilla) จำนวนมาก ซึ่งปุ่มรับรสจะมีด้วยกัน 4 ชนิด คือ รสหวาน รสขม รสเปรี้ยว และรสเค็ม ซึ่งการรับรู้รสชาติเหล่านี้จะเป็นการกระตุ้นให้สมองประมวลผลรับรู้รสและจะสั่งให้ชอบอาหารนั้นๆ หรือเรียกว่าสมองเสพติดรสชาตินั่นเอง

ยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นการทำงานของประสาทรับรสก็ยิ่งเสื่อมลงไม่ต่างกับอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย ซึ่งภาวะการสูญเสียการรับรู้รสจะพบได้มากในกลุ่มผู้สูงอายุ จึงอย่าได้แปลกใจหากอาหารสุดอร่อยที่คุณตาคุณยายในบ้านเคยทำให้เมื่อตอนเราเด็ก พอกลับมาทานตอนโตจะรู้สึกว่าปรุงหนักและมีรสชาติจัดไปทางรสเค็ม นั่นก็เพราะพวกท่านรับรู้ว่านั่นคือรสชาติที่กำลังพอดี อันเนื่องมาจากภาวะสูญเสียการรับรสนั่นเอง

“เมื่อก้าวสู่การเป็นผู้สูงวัย นอกจากการรับรู้รสจะเสื่อมจากเดิมแล้ว ระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็เริ่มเสื่อม หากยิ่งไม่ใส่ใจเรื่องอาหารการกินก็ยิ่งเพิ่มตัวเร่งความเสื่อมของอวัยวะอื่น ๆ ให้มาถึงเร็วขึ้น เพราะหากเลือกกินอาหารไม่เป็น กินอาหารที่เค็มจัด มีโซเดียมสูง ก็ยิ่งทำให้ไตทำงานหนักมากขึ้น” อาจารย์สง่า ดามาพงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. และที่ปรึกษาด้านโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ก่อนอาจารย์สง่า จะบอกต่อไปว่า โรคไตเป็นสิ่งที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตมนุษย์ เพราะคนที่เป็นโรคนี้ไม่ใช่แค่ต้องเสียเงินมหาศาลเพื่อไปล้างไต ฟอกไต แต่ยังเสียเวลา เสียสุขภาพจิต ซึ่งเขาอาจรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นภาระของครอบครัว ดังนั้นคนที่ไม่อยากเป็นโรคไตทั้งในวัยผู้สูงอายุ วัยทำงาน วัยหนุ่มสาว หรือวัยเด็ก จึงต้องใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองด้วยหลักง่ายๆ คือ

เลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง อาหารที่มีโซเดียมสูงไม่ใช่แค่เกลือกับน้ำปลา แต่ยังรวมถึงกะปิ ปลาร้า ผงชูรส ซีอิ๊ว ผงซุปก้อน ซอสปรุงรส ผงฟูที่อยู่ในขนมปังเบเกอรี่ต่าง ๆ และสารถนอมอาหารในอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบค่อน หมูยอ เป็นต้น

กินผักและผลไม้อย่างเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 400 กรัม จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ระยะหนึ่ง

กินอาหารที่มีแคลอรี่น้อย

ออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า โรคไตไม่ใช่โรคที่เกิดจากการกินเกลือเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการกินโซเดียมเกินปริมาณตามความต้องการของร่างกายที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า ในทุก ๆ วันคนเราไม่ควรกินโซเดียมเกิน 1 ช้อนชา หรือ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในขณะที่คนไทยในวัยผู้ใหญ่ได้รับโซเดียมเกินกว่ามาตรฐานกำหนดถึง 2 เท่า วันนี้ ทีมเว็บไซต์ สสส. จึงรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพไตมาฝาก

ลดเค็ม… ลดได้หลายโรค
ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ สาขาวิชาโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ได้กล่าวไว้ในวิดีโอ ลดเค็มลดหลายโรค ที่เผยแพร่ผ่านแชนแนล RAMA CHANNEL ทางยูทูป ไว้ว่า “การลดกินเค็มมีส่วนป้องกันโรคที่มีปัจจัยเกี่ยวกับการกินโซเดียมเกินความต้องการของร่างกาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น ซึ่งการลดปริมาณการกินเค็มจะทำให้อาการของโรคนั้น ๆ ดีขึ้น และป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว ส่วนใหญ่ปรุงรสเค็มอย่างเดียวก็ไม่อร่อย ต้องมีรสนัว กลมกล่อม ก็ต้องเติมน้ำตาลเพิ่ม ทำให้กินเค็มและหวานเกินเป็นต้นเหตุของการพ่วงทั้งโรคเบาหวานและโรคอ้วนตามมา ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่กินเค็มมากจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตมากกว่าผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่กินเค็ม ดังนั้นเลี่ยงเค็มจึงสามารถป้องกันได้หลายโรค”

วิธีลดเค็มอย่างไรให้ได้ผล?
ที่คนเราชอบกินเค็ม กินหวาน เป็นเพราะความเคยชิน ดังนั้นจึงต้องค่อย ๆ ลดทีละน้อย ๆ จะทำให้ลิ้นค่อย ๆ ปรับความไวการรับรสได้ ผศ.นพ.สุรศักดิ์ แนะนำการลดเค็มอย่างไรให้ได้ผลว่า ‘ควรลด 10%’ ในครั้งแรก และถัดไปอีกประมาณ 2 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน ให้ลดลงไปอีก 10% และอีก 1 เดือนต่อมาให้ลดลงอีก 10% วิธีนี้จะทำให้ลดสามารถลดเค็มได้ 30% ภายในระยะเวลา 3 เดือน และเป็นการลดเค็มที่เรายังมีความสุขกับการกินเหมือนเดิมแต่ร่างกายเคยชินกับการกินรสเค็มที่น้อยลง

6:1:1 เคล็ดลับกินดี ส่งตรงจาก อาจารย์สง่า ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ
อาจารย์สง่า ได้แนะนำเคล็ดลับการกินอาหารสำหรับผู้สูงวัยให้ห่างไกลโรค คือ ผู้สูงอายุควรกินอาหารตามธรรมชาติผ่านการปรุงแต่งให้น้อยที่สุด เลือกข้าวกล้องแทนข้าวขาวเพราะจะมีสารอาหารมากกว่า กินเนื้อปลาสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพ สามารถกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง โดยเน้นไปที่ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น (ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ควรลดเหลือสัปดาห์ละ 3-4 ฟอง) กินถั่วเมล็ดแห้ง ดื่มนมรสจืดหรือนมพร่องมันเนย 1 กล่อง หรือ 1 แก้วต่อวัน กินผักผลไม้เป็นประจำ ที่สำคัญต้องใช้สูตร ‘6:1:1’ คือ กินน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา น้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชา และเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน ก็จะทำให้เป็นผู้สูงอายุที่ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้มากมาย แถมสูตรนี้ยังได้ผลดีกับคนทุกวัยอีกด้วย

เคล็ดลับดูแลตับให้แข็งแรงด้วยวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตับโดยเฉพาะ

นอนไม่ค่อยหลับ ตับผิดปกติ ?

 

อาการนอนไม่ค่อยหลับมักอาจเกิดได้กับหลายๆบุคคล ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากไม่คุ้นชินสถานที่ หรือมีมลภาวะรบกวน นอนไม่หลับเพราะความเครียดหรือคิดมาก วิตกกังวลกับเรื่องใดๆอยู่ อาการเหล่านี้อาจจะทำให้เสียสุขภาพได้ในเบื้องต้น แตกหาก มีอาการหลับไม่สนิท ตื่นมางัวเงีย มีอาการเพลียระหว่างวัน  อาจจะเข้าข่าย “ตับพัง”

 

การง่วงนอนนั้นมาจากสารเคมีในร่างกายที่กำลังเริ่มทำงานโดยชื่อว่า เมลาโทนิน เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยมีความมืดเป็นตัวกระตุ้นทำให้ระดับของเมลาโทนินสูงขึ้นมากกว่าปกติในเวลากลางคืน เมื่อสารชนิดนี้เริ่มทำงานแล้ว ส่งผลให้ระดับหัวใจของเราเต้นช้าลง กล้ามเนื้อต่างๆเริ่มผ่อนคลาย เริ่มหายใจแผ่ว มีอาการง่วงนั่นคือกำลังตกอยู่นสภาพวันนอนหลับ นั่นเอง

 

จากการศึกษาพบว่า ระดับเมลาโทนินนั้นจะเพิ่มขึ้นมากในช่วงกลางวันเนื่องจากผู้ป่วย มีการทำงานผิดปกติของตับ แต่ถ้าหากง่วงในเวลากลางคืน การขจัดเมลาโทนินก็จะถูกขจัดไปตรงตามช่วงเวลานาฬิกาชีวิต ตอนกลางคืนหลับสนิท ในระหว่างวันก็จะไม่มีอาการง่วงหรืออ่อนเพลีย

 

เคล็ดลับดูแลตับให้แข็งแรง สำหรับสารที่จะช่วยในการขับสารพิษที่เรารู้จักกันดีนั่นก็คือสาร กลูต้าไธโอน หรือที่เรียกกันว่า สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่กำจัดสารพิษออกจากตับ หากได้รับกลูต้าไธโอนในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะสามารถขับไล่สารพิษต่าง ๆในตับ ทำให้ตับทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ร่างกายมีสุขภาพดี ตับขับสารพิษจากร่างกายได้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นหากเราได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ อวัยวะต่างๆภายในก็จะทำงานได้เป็นปกติ ระบบการทำงานภายในของเรามักจะเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด หากขาดอวัยวะชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งไปก็จะส่งผลให้เราไม่สามารถประกอบกิจกรรมในแต่ละวันได้ ดังนั้นการนอนหลับให้เป็นเวลาถือเป็นการช่วยรักษาสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก ช่วยให้ดูสดใส และอวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างครบถ้วน

ความอ้วนส่งผลให้ข้อเข่าเสื่อมได้จริงหรือ?

โรคข้อเข่าเสื่อม

เป็นโรคที่ผิวข้อกระดูกอ่อนเกิดการสึกหรอ สึกกร่อน เกิดอาการอักเสบ ปวด บวมเเดงร้อนที่ข้อเข่า เข่าโก่ง สุดท้ายจะเจ็บเข่ามาก จนเดินไม่ได้ เราพบว่า โรคข้อเข่าเสื่อม นั้น มีปัจจัย มากมายหลายอย่างที่กระตุ้น ทำให้เป็น
โรคนี้เร็วขึ้น เเละมากขึ้น หนึ่งในนั้นที่คนไทยมีกันมาก ก็คือ ความอ้วนครับ

มีการวัดค่าความอ้วนได้หลายอย่าง

ซึ่งผมคงไม่ต้องบอกนะครับว่า อย่างไร ถึงจะเรียกว่า อ้วน คุณน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด มีข้อมูลที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับความอ้วนหลายอย่าง โดยเฉพาะความอ้วนที่เกี่ยวข้องกับโรคข้อเข่าเสื่อม

ความอ้วนถูกจัดให้เป็นปัจจัยหนึ่งที่โดดเด่นที่ก่อให้โรคข้อเข่าเสื่อม

โดยเฉพาะในเพศหญิง ถ้ามีน้ำหนักตัวเกินด้วยเเล้วทำให้มีโอกาสเกิดโรคนี้ถึง 9 เท่า ความอ้วนนอกจากจะเป็นตัวเร่งให้เกิดข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นในวัยหนุ่มสาวเล้วยังทำให้โรคลุกลามได้ไวมากขึ้นเเละยังมีผลทำให้ผลของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมไม่ดีเท่าคนน้ำหนักปกติครับ

ในสมัยก่อน

เราอาจจะเข้าใจว่า สาเหตุของความอ้วนไม่ใช่อยู่ที่พฤติกรรมการทานอาหารที่ผิดปกติเท่านั้น เเต่ในปัจจุบันเราค้นพบว่า เกิดจากการถ่ายทอดตามกรรมพันธุ์เสียด้วย โดยเฉพาะมีมากกว่า 400 ยีนส์ที่เดียวครับ เเต่เป็นที่ยืนยันเเล้วว่า ยีนส์เหล่านี้ไม่ได้ทำให้เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากขึ้นครับ

เวลาเดินในเเต่ละก้าว

จะมีเเรงที่มากดที่ข้อเข่าของคนอ้วนมากกว่าคนไม่อ้วนครับ นอกจากนั้นบางคนยังเชื่อว่า ข้อเข่าที่มีเนื้อเยื่อไขมันมากๆ จะล้นไปกดเเละทำลายผิวกระดุกอ่อนที่อยู่ใกล้ๆ กัน ทำให้ไปเร่งในการเป็นข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น

เมื่อความอ้วนทำให้เป็นข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น

ก็มีนักวิทยาศาสตร์คิดในทางตรงกันข้ามครับว่าถ้าเราลดน้ำหนักลงจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมดีขึ้น หรือไม่ ในปี 1997 มีนักวิทยาศาสตร์วิจัย เเเละพบว่า สำหรับเพศหญิงที่มี
ความสูงตามปกติทั่วไป ทุกๆ น้ำหนักตัวที่หายไป11 ปอนด์ หรือประมาณ
5 กิโล ความเสี่ยงในการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมจะหายไปมากว่า 50% ทีเดียวครับ นอกจากนั้นยังพบว่า การลดน้ำหนักเพียงอย่างเดียว จะสามารถลดอาการปวดข้อเข่าได้ โดยไม่ต้องทานยาเเก้อักเสบที่มีผลข้างเคียง

ทุกๆ น้ำหนักตัวที่ลดลง 1 กิโล

จะไปลดน้ำหนักที่กดลงบนข้อเข่า 4 กิโลในเเต่ละก้าวที่เราก้าวเดินครับหรือลดลง 3000 กิโลกรัม ต่อการเดินไกล 1 กิโลเมตร ในเเต่ละวันคนเราอาจจะเดินถึงวันละ 1.5 กิโลเมตร นั่นก็หมายความว่าจะมีการลดเเรงกระเเทกที่หัวเข่าอย่างมากมายมหาศาลในคนที่สามารถลดน้ำหนัดลงเเค่ 1 กิโลกรัม

เเต่ในบางคนที่ลดน้ำหนักไม่ได้

ก็ไม่ต้องกลุ้มใจครับ เเต่ให้ใช้วิธีการควบคุม น้ำหนักตัวเเทน โดยพยายามควบคุมน้ำหนักตัวเเทนไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในเเต่ละปีครับส่วนคนที่น้ำหนักตัวเกินมาก เเละไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้ก็จำเป้นต้องเเก้ไข ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่มีอยู่มากมายหลายข้อทดเเทนกันครับ

ตัวอย่างเช่น

นักกีฬาซูโม่ ของญี่ปุ่น มีน้ำหนักมากมาย หลายร้อยกิโลครับ เวลาป่วยเป็นโรคเเต่ละครั้ง ก็จะไปพบเเพทย์ที่โรงพยาบาลที่ทางประเทศญี่ปุ่น จัดไว้ให้โดยเฉพาะที่คนทั่วไป ไม่มีสิทธิในการเข้าไปรักษา มีการรวบรวมสถิติทางการเเพทย์เกี่ยวกับความเจ็บป่วยของนักกีฬาซูโม่ว่าเกี่ยวข้องกันกับน้ำหนักตัวที่มากมายมหาศาลหรือไม่พบข้อมูลที่น่าสนใจหลายเรื่องครับ เช่น น้ำหนักตัวที่มากมายของซูโม่ไม่ได้ทำให้ ประชากรซูโม่นั้นมีโอกาสเป็นข้อเข่าเสื่อม มากกว่า คนทั่วไปทำไมถึงเป็นเช่นนั้นครับ เพราะข้อมูลส่วนอื่นๆ ทั่วไป ล้วนบ่งชี้ว่าความอ้วนนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น

เหตุผลที่เป็นเช่นนี้

ก็เพราะว่า ถึงเเม้ซูโม่ จะมีน้ำหนักตัวมากกว่าคนปกติเเต่กล้ามเนื่อข้อเข่าของซูโม่ ก็เเข็งเเรงมากกว่า คนปกติหลายเท่าด้วยกล้ามเนื้อที่เเข็งเเรงนี้ จึงไปชดเชยปัจจัยด้อยของน้ำหนักตัวที่มากเกินส่งผลทำให้ ไม่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่าคนปกติครับ

ถ้าท่านมีกล้ามเนื้อรอบหัวเข่าไม่เเข็งเเรง

เเล้วยังคงตามใจปาก ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นทุกปีท่านก็อาจจะเป็นคนคนหนึ่งครับ ที่ต้องเสียเวลาในชีวิตเหลืออยู่ต่อสู้กับโรคข้อเข่าเสื่อมที่มาเร็วกว่า คนปกติโดยสุดท้ายก็อาจจะต้องถูกผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมโดยที่ไม่ทันตั้งตัวครับสบายกายคลายปวดเข่าครับ